ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากตลาดหุ้นเทคโนโลยีจากความคืบหน้าในการเจรจาการค้า มีความคืบหน้ากับประเทศรอบอ่าวเปอร์เซียช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ก่อนจะมีข่าวเชิงลบในช่วงหลังวันศุกร์ Moody’s ปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐลง นอกจากนี้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ทองคำถูกเทขายทำกำไรเนื่องจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยลดลงประกอบกับค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และทางด้านตลาดหุ้นยุโรปและเอเชียอื่นๆฟื้นตัว

ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยสหรัฐฯ นำโดย S&P 500 และ Nasdaq บวกจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหราชอาณาจักรและจีนมีความคืบหน้า ประกอบกับงบของหุ้นเทคโนโลยีมีการเติบโตต่อเนื่อง ส่วนทางด้านยุโรปและเอเชียเองก็ได้รับแรงหนุนด้านการเจรจาและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน รวมถึงการฟื้นตัวของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นแรงที่สุดในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ทองคำถูกเทขายทำกำไรจากความต้องการสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเริ่มลดลง และการเริ่มแข็งค่าขึ้นของค่าเงินดอลลาร์

ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยสหรัฐฯ นำโดย S&P 500 และ Nasdaq บวกจากข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่งและผลประกอบการบริษัทยักษ์ใหญ่ ขณะที่ยุโรปและเอเชียได้รับแรงหนุนจากความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังจับตาการเจรจาและนโยบายภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ราคาทองคำเริ่มทรงตัวหลังสถานการณ์คลี่คลาย ส่วนราคาน้ำมันร่วงจากข่าวการเพิ่มกำลังผลิตของ OPEC+ และค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากคาดการณ์ท่าทีผ่อนคลายของ Fed ในอนาคต

สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่สามารถฟื้นตัวจากความคาดหวังในการผ่อนคลายภาษีศุลกากรระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Alphabet Microsoft และ Apple มีผลต่อทิศทางของตลาด ตลาดหุ้นสหรัฐ โดยดัชนี Nasdaq ปรับเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดที่ +6.7% และดัชนี S&P500 + 4.6% ขณะที่ทองคำแม้จะเผชิญแรงขายในระหว่างสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี ที่+24.9%

สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกเคลื่อนไหวผสมผสาน ส่วนใหญ่แกว่งตัวออกด้านข้าง หลังการฟื้นตัวจากที่ ปธน.ทรัมป์มีการประกาศระงับการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศทั่วโลก 90 วัน ยกเว้นจีน โดยระหว่างนี้สหรัฐได้มีการเจรจาการค้ากับหลายประเทศ ซึ่งทำให้ตลาดยังคงรอดูความชัดเจนของมาตรการภาษีต่อไป โดยน้ำมันเป็นสินทรัพย์ที่ราคาเพิ่มสูงสุดรายสัปดาห์ที่+5.17% รองลงมาคือดัชนีหุ้นอินเดีย ขณะที่ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี ที่+26.5%

สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นโดยเป็นการฟื้นตัวหลังจากร่วงลงอย่างหนักในช่วงต้นเดือนเมษายน โดยระหว่างสัปดาห์ทรัมป์มีการประกาศระงับการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศทั่วโลก 90 วัน ยกเว้นจีน ซึ่งทำให้หุ้นขึ้นแรงในช่วงวันที่ 9 เมษายน และการยกเว้นภาษีนำเข้ากลุ่มสมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หลังจากนั้นตลาดได้พักฐานรอดูความชัดเจนของมาตรการภาษีศุลกากรใหม่ที่อาจถูกนำกลับมาใช้โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อีกรอบ

สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงแรงจาก นโยบายภาษีสหรัฐ “Reciprocal Tariffs” วันที่ 3 เมษายน ซึ่งกระทบตลาดหุ้นในวันพฤหัส ถึงศุกร์ที่ผ่านมาในระดับ -10% และก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า และการชะตัวของเศรษฐกิจโลก โดยนักลงทุนขายสินทรัพย์เสี่ยง ชะลอการลงทุนและส่วนหนึ่งย้ายการลงทุนไปในสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ ทองคำ และ พันธบัตรรัฐบาล

เดือนมีนาคม ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง โดยที่ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้น สาเหตุมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐ โดยล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐก็ส่งสัญญาณที่จะชะลอตัว ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อ (Core PCE) เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาขยับขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนการลงทุนในไทยต้องจับตาผลกระทบจากแผ่นดินไหววันที่ 28 มีนาคม ที่ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ไทยต้องหยุดการซื้อขาย คาดว่าจะมีผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจไทย

สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ฟื้นตัวหลังจากที่ปรับลดลงมาหลายสัปดาห์อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสหรัฐ โดยการประชุม FOMC ในช่วงกลางสัปดาห์ ธนาคารกลางสหรัฐเริ่มแสดงท่าทีการเปิดทางต่อการผ่อนคลายนโยบายมากขึ้น โดยตลาดมองว่า FED จะลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้งในปีนี้ รวมถึงท่าทีของ ทรัมป์ ส่งสัญญาณว่ามาตรการภาษีใหม่ที่จะเริ่มเดือน เม.ย. นี้ อาจไม่รุนแรงเท่าที่คาดไว้

สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐที่มีแรงเทขายหุ้นจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม 25% ซึ่งกระตุ้นให้ EU และ แคนาดาตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีสินค้าสหรัฐ รวมถึงความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย โดยเฉพาะในสหรัฐที่มีตัวเลขเศรษฐกิจบางส่วนเริ่มชะะลอตัว และเงินเฟ้อสูงกว่าคาด