ไทย ENG

CONTACT US
0-2026-6875

Weekly Highlight 8 เมษายน 2568

08/04/2025

สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกปรับลดลงแรงจาก นโยบายภาษีสหรัฐ “Reciprocal Tariffs” วันที่ 3 เมษายน ซึ่งกระทบตลาดหุ้นในวันพฤหัส ถึงศุกร์ที่ผ่านมาในระดับ -10% และก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยนักลงทุนขายสินทรัพย์เสี่ยง ชะลอการลงทุนและส่วนหนึ่งย้ายการลงทุนไปในสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ ทองคำ และ พันธบัตรรัฐบาล

Major Indices Return

ค่า PE ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงแรง ทำให้กลับมามีค่าน้อยกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย โดยตลาดหุ้นสหรัฐมีค่า Forward PE 18.3x ลดลงจาก 20.5x ตลาดหุ้นยุโรป13x ขณะที่ Earning Yield Gap กว้างขึ้นหลังจากราคาหุ้นแต่ละประเทศปรับตัวลงแรง ความผันผวนและความไม่แน่นอนในปัจจุบันทำให้ตลาดมีแนวโน้มซื้อขายกันในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

Reciprocal Tariffs

ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้มาตรการภาษีตอบโต้การค้า กระทบตลาดทั้งโลก

ตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญแรงกดดัน หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจะลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารบังคับใช้ “ภาษีตอบโต้” (Reciprocal Tariffs) โดยกำหนดภาษีขั้นต่ำ 10% สำหรับสินค้านำเข้าทุกประเภท เริ่มบังคับใช้วันที่ 5 เมษายน และในกรณีประเทศที่เก็บภาษีสินค้าส่งออกจากสหรัฐฯ ในระดับสูง จะถูกตอบโต้ด้วยอัตราภาษีที่เทียบเท่า “ครึ่งหนึ่ง” ของอัตรานั้น เช่น จีนที่เก็บภาษี 67% จะถูกเก็บภาษีเพิ่มอีก 34% ส่งผลให้ภาษีรวมอยู่ที่ 54%

มาตรการนี้มีเป้าหมาย “เปิดตลาดต่างประเทศและลดอุปสรรคทางการค้า” โดยรวมถึงการพิจารณาอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เช่น VAT ของยุโรป และการแทรกแซงค่าเงิน ทรัมป์ย้ำว่านี่คือก้าวสำคัญในการฟื้นฟูภาคการผลิตของสหรัฐฯ และจะทำให้ราคาสินค้าภายในประเทศลดลงในระยะยาว พร้อมยืนยันจะเดินหน้าจัดเก็บภาษี 25% สำหรับรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้า

Source: Trump unveils sweeping tariffs on all imports and higher levies on “bad actors” By Investing.com

ภาษีใหม่ของทรัมป์ เสี่ยงซ้ำเติมเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย

นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าผลกระทบจากนโยบายนี้จะทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นทั่วโลก บั่นทอนอุปสงค์ และอาจเร่งให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยเฉพาะในประเทศเกิดใหม่ที่พึ่งพาการค้ากับสหรัฐฯ ขณะเดียวกันผู้ส่งออกหลักอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เตรียมมาตรการฉุกเฉินหลังเผชิญภาษีนำเข้า 24% และ 25% ตามลำดับ

การขยายตัวของสงครามการค้าอาจกระทบต่อโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก และทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะซ้ำเติมภาระหนี้ทั่วโลกที่แตะระดับ $318 ล้านล้านดอลลาร์ และทำให้ธนาคารกลางหลายแห่งต้องเผชิญแรงกดดันต่อการดำเนินนโยบายการเงินในทิศทางที่ตรงกันข้าม

แม้ทรัมป์หวังใช้ภาษีกระตุ้นการผลิตในประเทศ แต่หลายฝ่ายมองว่าแรงจูงใจดังกล่าวอาจไม่สำเร็จเนื่องจากสหรัฐฯ เผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิตอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่ทรัมป์อาจดำเนินนโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อลดการขาดดุลการค้า ซึ่งอาจสั่นคลอนบทบาทของดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองของโลกในระยะยาว

Tit for Tat การตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐ

ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงหนักหลังการประกาศภาษีดังกล่าว โดยมูลค่าตลาด S&P 500 หายไปถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในสองวัน สะท้อนแรงกดดันต่อนักลงทุนที่หันไปถือพันธบัตรรัฐบาลแทน ขณะที่ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกในสัปดาห์หน้า สหรัฐฯ จะเริ่มเก็บภาษี “ตอบโต้” สูงสุดถึง 50% โดยสินค้าจาก EU จะถูกเก็บภาษี 20% และจีนถูกเพิ่มเป็น 34% รวมกับภาษีเดิมจะทำให้สินค้าจีนต้องเสียภาษีรวม 54% ขณะที่เวียดนามซึ่งเคยได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน จะถูกเก็บภาษี 46% และได้เริ่มหารือกับรัฐบาลทรัมป์

แคนาดาและเม็กซิโกได้รับการยกเว้นภาษีล่าสุด เนื่องจากยังอยู่ภายใต้ภาษี 25% ที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตฟันตานิลและกฎถิ่นกำเนิดสินค้าในข้อตกลง USMCA ขณะที่สินค้ากลุ่มพลังงาน ยา ยูเรเนียม และเซมิคอนดักเตอร์บางรายการมูลค่ารวม $645 พันล้านในปี 2024 ถูกยกเว้น แต่กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่ออาจเก็บภาษีในอนาคตภายใต้เหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ

จีน: ประกาศเก็บภาษี 34% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน พร้อมจำกัดการส่งออกแร่หายากและยื่นฟ้องสหรัฐฯ ต่อองค์การการค้าโลก (WTO) โดยล่าสุด ขู่ว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 50% หากจีนไม่ยกเลิกภาษีตอบโต้

EU:  เสนอข้อตกลง “zero-for-zero” (ไม่มีภาษีทั้งสองฝ่าย) สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม รวมถึงรถยนต์ เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้ามาตรการภาษีตอบโต้ชุดแรก

EU จะเริ่มเก็บภาษี 25% กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ บางรายการตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย. และรอบถัดไปวันที่ 1 ธ.ค. รายการสินค้า ตัด bourbon, ไวน์ และนม ออกจากรายชื่อ เนื่องจากสหรัฐฯ ขู่ตอบโต้ด้วยภาษี 200% สำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของ EU

มาตรการชุดใหญ่กว่านี้จะตามมา ปลายเดือนเมษายน เพื่อตอบโต้ภาษีรถยนต์และสินค้าทั่วไปจากสหรัฐฯ EU ย้ำว่าต้องการเจรจาเป็นหลัก แต่จะไม่รออย่างไร้กำหนด และพร้อมใช้เครื่องมืออื่นเช่น Anti-Coercion Instrument ที่อาจกระทบภาคบริการและการจัดซื้อจัดจ้างของสหรัฐฯ

ติดตามสถานการณ์ล่าสุด: https://www.reuters.com/world/us/donald-trump/trump-tariffs-live-asian-markets-us-stock-futures-tumble-2025-04-07/

JPMorgan’s three scenarios for S&P500

JPMorgan ปรับลดเป้าดัชนี S&P 500 ปลายปีลงเหลือ 5,200 จุด พร้อมแนะกรณีเลวร้ายที่ดัชนีอาจร่วงลงแตะ 4,000 จุด ท่ามกลางแรงกดดันจากความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยและผลกระทบช็อกจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยการประกาศ “Liberation Day” ส่งผลให้ภาษีเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 3% เป็น 19% คิดเป็นภาระภาษีเทียบเท่า 2.4% ของ GDP ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1968

นักกลยุทธ์นำโดย Dubravko Lakos-Bujas ชี้ว่า ความรุนแรงของการเทขายหุ้นในช่วงสามวันที่ผ่านมา บวกกับภาวะตื่นตระหนกและการลดพอร์ตเสี่ยง อาจเปิดทางให้เกิดการรีบาวด์ทางเทคนิคได้ หากมีข่าวบวกใดๆ เข้ามาหนุน อย่างไรก็ตาม ธนาคารคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2025 จะหดตัว 0.3% ขณะที่อัตราว่างงานอาจพุ่งขึ้นแตะ 5.3%

JPMorgan ประเมิน 3 กรณีสำหรับ S&P 500 ได้แก่
– กรณีเลวร้าย (
Bear case): 4,000 จุด หากไม่มีการผ่อนคลายภาษี
– กรณีฐาน (
Base case): 5,200 จุด หากมีการผ่อนคลายบางส่วน
– กรณีดีที่สุด (
Bull case): 5,800 จุด

ธนาคารยังเตือนว่าผลกระทบจากภาษีจะกระทบต่อกำไรบริษัทโดยตรง โดยคาดว่าตลาดอาจเผชิญกับการปรับลดประมาณการกำไรในลักษณะคล้ายช่วงเศรษฐกิจถดถอย พร้อมทั้งคาดว่า Fed อาจจำเป็นต้องปรับลดดอกเบี้ยถึง 5 ครั้งภายในเดือนมกราคม 2026 เพื่อรับมือแรงกดดันด้านกิจกรรมเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น

Source: JPMorgan introduces new S&P 500 downside case of 4,000 amid tariff shock By Investing.com

Economic Calendar

กองทุนออกใหม่และการจัดอันดับกองทุนพักเงินประจำสัปดาห์

Disclaimer

ข้อมูลและเนื้อหาในเอกสารฉบับนี้ ถูกรวบรวมขึ้นจากแหล่งที่มาที่พิจารณาแล้วว่ามีความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตามทางบริษัทนายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน เวลธ์ เซอร์ติฟายด์ จำกัด ไม่อาจรับประกันความถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบันของเอกสารฉบับนี้ รวมถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการนำเสนอข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ ข้อมูลและความคิดเห็นในเอกสารฉบับนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

ผู้ลงทุนต้องเข้าใจว่า ผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถนำเอามาใช้รับประกันผลตอบแทนในปัจจุบันและอนาคตได้ ผู้ลงทุนมีโอกาสรับผลขาดทุนจากการขาดทุนได้ จึงต้องทำความเข้าใจลักษณะผลิตภัณฑ์ เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และผลการดำเนินงานที่นำเสนอนั้น อาจไม่ได้รวมค่าใช้จ่ายต่างๆ อาทิเช่น ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จะต้องมีการเรียกเก็บจากผู้ลงทุน เป็นต้น

เอกสารฉบับนี้ไม่ใช่เอกสารเผยแพร่ให้บุคคลทั่วไปและไม่สามารถนำไปแก้ไข ทำซ้ำ ดัดแปลงบางส่วนหรือทั้งหมด โดยปราศจากความเห็นชอบและอนุญาตจากบริษัทนายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน เวลธ์ เซอร์ติฟายด์ จำกัด

You cannot copy content of this page