สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัยตั้งแต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ไปจนถึงแรงขายหนักในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ข้อมูลตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งทำให้ความคาดหวังต่อการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯลดลง ส่งผลให้โอกาสที่ Fed จะปรับลดดอกเบี้ยในระยะสั้นน้อยกว่าที่ตลาดประเมิน ขณะเดียวกัน ความพยายามของทรัมป์ในการกดดันให้การปิดรัฐบาลสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วเป็นอีกปัจจัยที่สร้างความผันผวนต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน แรงขายหุ้นเทคโนโลยีและความวิตกเรื่องมูลค่าหุ้นที่ปรับขึ้นร้อนแรงเกินพื้นฐาน รวมถึงข่าวนักลงทุนบางรายเปิดสถานะ short ทำให้ตลาดอยู่ในช่วงปรับฐาน นักลงทุนจึงระมัดระวังการซื้อขายมากขึ้น และจับตาการเคลื่อนไหวของตลาดเทคโนโลยี รวมถึงการพัฒนาสถานการณ์ทางการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจเพื่อกำหนดทิศทางตลาดต่อไป


ค่า PE ตลาดหุ้นทั่วโลกทรงตัวหลังปรับตัวลดลงตอบรับการลดดอกเบี้ย ขณะที่ Bond Yield หลายประเทศปรับตัวลดลงหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ Earning Yield Gap โดยรวมมีแนวโน้มกว้างกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา

‘Big Short’ investor Michael Burry
ประเด็นสำคัญ
Michael Burry นักลงทุนชื่อดังจากเรื่อง “The Big Short” ได้ถอนทะเบียนกองทุนเฮดจ์ฟันด์ของเขา Scion Asset Management กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2025 ส่งผลให้กองทุนไม่ต้องรายงานข้อมูลต่อ SEC หรือหน่วยงานกำกับดูแลอีกต่อไป ก่อนการถอนทะเบียน กองทุน Scion บริหารทรัพย์สินประมาณ 155 ล้านดอลลาร์ และเป็นกองทุนที่นักลงทุนและสื่อจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะตำแหน่ง short ของเขาที่มองว่าอาจสะท้อนฟองสบู่ในตลาดบางส่วน
Burry โพสต์ผ่าน X (อดีต Twitter) ว่าเขากำลังไปสู่ “สิ่งที่ดีกว่า” ซึ่งแหล่งข่าวคาดว่าเขาอาจปรับโครงสร้างเป็น family office เพื่อบริหารเงินส่วนตัว แทนการจัดการเงินจากลูกค้าภายนอก การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เขาสามารถลงทุนได้โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะและหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจาก SEC
ในช่วงหลัง Burry ได้วิจารณ์บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ เช่น Nvidia, Palantir, Microsoft, Google และ Meta ว่าใช้วิธีการบัญชีแบบก้าวร้าว (aggressive accounting) โดยยืดอายุการคิดค่าเสื่อมของฮาร์ดแวร์ AI ทำให้รายงานกำไรดูเรียบและสูงเกินจริง เขาประเมินว่าระหว่างปี 2026‑2028 วิธีการคิดค่าเสื่อมแบบนี้อาจทำให้การรายงานกำไรต่ำกว่าความเป็นจริงรวมถึง 176 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้เขายังเตือนว่าฟองสบู่ AI มีอยู่จริง หลังตลาด AI กลายเป็นแรงขับสำคัญให้ดัชนี S&P 500 เติบโตมากตั้งแต่เปิดตัว
นักวิเคราะห์บางรายมองว่าการตัดสินใจถอนตัวของ Burry อาจไม่ใช่การยอมแพ้ แต่เป็นการถอนตัวจากตลาดที่เขามองว่า “fundamentally rigged” ขณะที่บางส่วนคาดว่าเขาอาจหันมาลงทุนแบบ family office เพื่อหลีกเลี่ยงความสนใจสาธารณะและการตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแล
ก่อนถอนทะเบียน Burry ได้ส่งจดหมายถึงนักลงทุน (วันที่ 27 ต.ค.) ระบุว่าเขาจะ ล้างพอร์ต (liquidate) และคืนเงินให้ลูกค้า ภายในสิ้นปี โดยยกเว้น holdback เล็ก ๆ สำหรับบัญชีตรวจสอบและภาษี พร้อมระบุว่าเขาเห็นว่าการประเมินมูลค่าหุ้นของเขา “ไม่สอดคล้องกับตลาด” มาสักระยะแล้ว (“not in sync with the markets”) การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนมุมมองของ Burry ต่อสภาพตลาดปัจจุบันและฟองสบู่เทคโนโลยี / AI ที่เขาเตือนมานาน
The government shutdown
ประเด็นสำคัญ
สภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างกฎหมายในคะแนนโหวต 222 – 209 เพื่อยุติการปิดภาครัฐ ซึ่งถือเป็นการปิดภาครัฐนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้รับการอนุมัติจากสภาผู้แทนแล้ว และต่อจากนั้นจะส่งไปยังประธานาธิบดี Donald Trump เพื่อให้ลงนามเป็นกฎหมายต่อไป
ร่างกฎหมายจะ คืนเงินช่วยเหลืออาหาร (food assistance) ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบ, จ่ายเงินย้อนหลังให้เจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกพักงานหรือทำงานโดยไม่ได้ค่าจ้าง, และเปิดให้ระบบควบคุมการบิน (air‑traffic control) กลับมาเดินหน้าตามปกติ
ระยะเวลาการสนับสนุนงบประมาณในร่างกฎหมายจะยาวไปจนถึง 30 มกราคม โดยในช่วงเวลานี้ยังไม่มีการขยายเครดิตประกันสุขภาพจาก Affordable Care Act (ACA) ซึ่งเป็นประเด็นที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเดโมแครตเรียกร้อง
จากการสำรวจโดย Reuters / Ipsos พบว่า ประมาณ 50 % ของประชาชนโทษพรรครีพับลิกันสำหรับการปิดภาครัฐ ในขณะที่ 47 % โทษพรรคเดโมแครต
ทั้งสองพรรคไม่ได้ “ชนะ” อย่างชัดเจน เพราะฝ่ายเดโมแครตไม่ได้เงินตามข้อเรียกร้องด้านสุขภาพ ในขณะที่ฝ่ายรีพับลิกันถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางจากประชาชน
source : Trump signs deal to end longest US government shutdown in history | Reuters
Berkshire reveals new $4.3 billion Alphabet
ประเด็นสำคัญ
สรุปข่าวจาก Berkshire Hathaway ภายใต้การนำของ Warren Buffett ดังนี้:
บริษัทได้เปิดเผยว่า ถือหุ้นของ Alphabet Inc. (บริษัทแม่ของ Google) จำนวนประมาณ 17.85 ล้านหุ้น ณ วันที่ 30 ก.ย. 2025 ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยถือเป็นการเข้าไปถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หลังจากที่บริษัทมักหลีกเลี่ยงกลุ่มนี้มาก่อนหน้านี้.
พร้อมกันนั้น Berkshire ได้ระบุว่ามีการลดสัดส่วนการถือหุ้นของ Apple Inc. ลงอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาสดังกล่าว ซึ่งสะท้อนถึงการปรับพอร์ตโฟลิโอและความระมัดระวังในช่วงที่นำโดย Buffett ก่อนการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร.
การเข้าลงทุนใน Alphabet ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสังเกต เพราะ Buffett เคยกล่าวว่าไม่ซื้อบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่มาก่อนเนื่องจากเข้าใจโมเดลธุรกิจได้ยาก แต่ครั้งนี้กลับเลือกเข้าไปถือหุ้นในบริษัทซึ่งโดดเด่นด้านโฆษณาดิจิทัลและข้อมูล ซึ่งอาจสะท้อนถึงการมองเห็นโอกาสปรับตัวของพอร์ตฯให้ทันยุค.
ซึ่งโดยปกติ Warren Buffett จะตัดสินใจลงทุนหลัก ๆ เอง โดยมีทีมผู้ช่วยและผู้จัดการพอร์ตของ Berkshire Hathaway อย่าง Todd Combs และ Ted Weschler ช่วยวิเคราะห์และคัดเลือกหุ้น
source : Berkshire reveals new $4.3 billion Alphabet stake, sells more Apple | Reuters
Trump urges direct healthcare payments to Americans

Earnings Tencent / JD.com, Inc./ SMIC / Rigetti / Oklo
Tencent Holdings Ltd
รายได้รวมไตรมาส 3 2025 เติบโตประมาณ 15% YoY สู่ราว RMB 192.87 พันล้าน (~ US$26‑28 พันล้าน)
กำไรสุทธิเติบโตราว 19% YoY อยู่ที่ประมาณ RMB 63.13 พันล้าน (~US$8.9 พันล้าน)
บริษัทระบุว่าการเติบโตมาจากธุรกิจเกม, บริการโฆษณา & การตลาด, fintech & business services และการลงทุนด้าน AI เริ่มเห็นผล
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังกล่าวว่า “การขาดแคลนชิป” (chip shortage) มีผลกดดันการเติบโตของคลาวด์/เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตสูงในระยะกลาง → เป็นจุดที่น่าสังเกตสำหรับนักลงทุนที่มองระยะยาวว่า สัดส่วนคลาวด์จะยัง ขยายได้ดีหรือไม่
ข้อสังเกต: ผลดีมากในภาพรวม เติบโตโดดเด่นทั้งรายได้และกำไร แสดงให้เห็นว่า Tencent อยู่ในช่วงฟื้นตัวได้ดีหลังช่วงหลายปีที่เจอแรงกดดันจากนโยบายจีนและการแข่งขัน
JD.com, Inc.
รายได้ไตรมาส 3 2025 อยู่ที่ประมาณ RMB 299.1 พันล้าน (~US$42 พันล้าน) เติบโต ~14.9% YoY
อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิหดตัวหนัก: ไตรมาสนี้มีกำไรสุทธิประมาณ RMB 5.3 พันล้าน (~US$0.7 พันล้าน) ลดจาก RMB 11.7 พันล้าน ในช่วงเดียวกันปีก่อนหน้านี้
สาเหตุหลักที่ทำให้กำไรหดคือการขยายธุรกิจ food‑delivery และแพลตฟอร์มราคาต่ำ (เช่น Jingxi) ซึ่งใช้ทุนมากและยังไม่ได้เห็นกำไรเต็มที่.
ข้อสังเกต: การเติบโตของรายได้ก็ถือว่า “ดี” แต่ความสามารถทำกำไรเป็นจุดอ่อนในช่วงนี้ — นักลงทุนควรจับตาว่า JD จะควบคุมต้นทุน/เบรกขยายธุรกิจใหม่อย่างไร
SMIC รายได้ไตรมาส 3 2025 ของ SMIC อยู่ที่ประมาณ US$2.38 พันล้าน เติบโต ~9.7% YoY
กำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ US$191.75 ล้าน เติบโต ~28.9% YoY
สาเหตุสำคัญของการเติบโตมาจากการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นและความต้องการชิปในตลาดจีนยังแข็งแรง แม้จะมีความกังวลเรื่อง supply ของหน่วยความจำบางส่วน
ข้อสังเกต: ผลประกอบการออกมาดีทั้งรายได้และกำไร แต่ยังมีความเสี่ยงจาก supply chain และข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี/นโยบายต่างประเทศ — นักลงทุนควรจับตาว่า SMIC จะบริหารความเสี่ยงและคำสั่งซื้ออย่างไร
จีนมีศักยภาพเติบโตเร็ว: ตลาดใหญ่, AI adoption สูง, รัฐสนับสนุน
ข้อจำกัดสำคัญ: hardware lags behind, international sanctions / export control, ต้องพึ่งการซื้อเทคโนโลยีขั้นสูงจากต่างประเทศ
สรุปคือ จีนจะไล่ทันได้ในบาง segment เช่น AI software, AI for industrial / consumer applications แต่ สู้สหรัฐฯ ในด้าน high-end AI chips แบบ cutting-edge ยังยากใน 3–5 ปีข้างหน้า
Rigetti Computing (RGTI)
รายได้รวมไตรมาส 3 สิ้นสุด 30 กันยายน 2025 อยู่ที่ประมาณ US$1.9 ล้าน ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ (~US$2.17 ล้าน) และลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน
กำไรต่อหุ้น (non‑GAAP EPS) อยู่ที่ประมาณ ‑US$0.03 ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ (‑US$0.04)
บริษัทมีเงินสดและเงินลงทุน (cash & investments) ประมาณ US$558.9 ล้าน ณ 6 พ.ย. 2025
คำอธิบายจากบริษัท: เน้นว่าเป็นภาคพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัม ยังอยู่ในช่วง “road‑map” เพื่อก้าวไปสู่ระบบ 100 กว่าคิวบิตภายใน 2025 และมากกว่า 1,000 คิวบิตภายใน 2027
ประเด็นสำคัญ:
ถึงแม้ EPS ดีกว่าคาด แต่รายได้ลดลงอย่างชัดเจน
บริษัทยังไม่มีโมเดล “การขายเชิงพาณิชย์” ที่ใหญ่ขึ้นโดยทันที — รายได้ยังหลักจากสัญญาหรือหน่วยงานรัฐบาล/ลูกวิจัย
นักลงทุนระวังเรื่อง “timing” และการเข้าถึงเชิงพาณิชย์ ซึ่งอาจใช้เวลามากกว่าที่คิด บริษัทเพิ่งเริ่มส่งมอบระบบ “Novera” ให้ลูกค้าพาณิชย์ โดยระบบจริงในตลาดตอนนี้ยัง ต่ำกว่า 100 Qubit และส่วนใหญ่ยังเป็นตัวแบต้า
Oklo Inc. (OKLO)
ไตรมาส 3 2025 ขาดทุนสุทธิประมาณ US$36.3 ล้าน โดยไม่มีรายได้ (zero revenue)
กำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ ‑US$0.20 ต่อหุ้น ซึ่งแย่กว่าคาดการณ์ที่ ‑US$0.13
เงินสดและหลักทรัพย์ที่สามารถขายได้ (cash & marketable securities) อยู่ราว US$1.18 พันล้าน
บริษัทอยู่ในธุรกิจพัฒนาเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR – Small Modular Reactor) มีแผนเริ่มใช้งานเชิงพาณิชย์ช่วงปลายปี 2027–2028
ประเด็นสำคัญ:
เนื่องจากยังไม่มีรายได้ ทำให้ผลขาดทุนยังคงสูง
อย่างไรก็ดี นักลงทุนบางส่วนยังให้มุมมองบวก เพราะบริษัทถือ “ทรัพยากร” และอยู่ในจุดที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้การสนับสนุนด้านนโยบายพลังงาน
ความเสี่ยง: การออกใช้งานจริงอาจล่าช้า, ต้นทุนสูง, ต้องพึ่งพานโยบายรัฐ
Rocket Lab
รายงานรายได้ 155 ล้านดอลลาร์ โต 48% YoY ทำสถิติสูงสุดรายไตรมาส โดยรายได้หลักมาจาก Space Systems ประมาณ 114 ล้าน (สามในสี่ของรายได้) และ Launch Services 41 ล้าน แสดงว่าบริษัทไม่ได้เป็นแค่ผู้ให้บริการจรวด แต่กลายเป็นผู้ผลิตดาวเทียมและ mission services ครบวงจร Backlog รวมอยู่ที่ราว 1.1 พันล้านดอลลาร์ แบ่งเป็น launch 47% และ space systems 53%
Balance sheet แข็งแกร่ง มีเงินสดและ marketable securities มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ทำให้มี runway เพียงพอสำหรับพัฒนา Neutron และ M&A ขาดทุนสุทธิ Q3 ลดลงเหลือ 18 ล้านดอลลาร์ (EPS -0.03) ดีกว่าคาด ทำให้หุ้นฟื้นตัวแม้มีข่าวเลื่อน Neutron
ด้านปฏิบัติการ Electron ยังคงทำเงินหลัก Q3 ยิงสำเร็จ 4 ครั้ง รวมทั้งปี 15–16 flight และกำลังตั้งสถิติใหม่ launch ต่อปี Backlog launch ขยายเป็น ~49 mission.
ประเด็นสำคัญ:
Rocket Lab แม้เจอข่าวเลื่อน Neutron ไปต้นปี 2026 แต่ผลประกอบการ Q3 ยังแข็งแรงด้วยรายได้โต 48% YoY และ gross margin สูงสุดนับตั้งแต่เข้าตลาด สะท้อนการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจ Space Systems ที่กลายเป็นรายได้หลักและสร้าง backlog คุณภาพสูงกว่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ การเข้าซื้อ GEOST และ Mynaric ต่อยอดให้บริษัทกลายเป็น “mini-prime” ที่มีทั้ง launch, bus และ payload อยู่ในบ้านครบ พร้อมฐานลูกค้า defence/NatSec ที่ชัดขึ้น การเลื่อน Neutron จึงเป็นเรื่องของการเพิ่มโอกาสสำเร็จมากกว่าความล้มเหลวของ execution ที่ยังเดินหน้าอย่างมีวินัย ขณะที่ความเสี่ยงหลักยังอยู่ที่ Neutron, ความเข้มข้นของสัญญา SDA และการ dilutions จากการระดมทุนครั้งใหญ่ในปีนี้.
source : ปฏิทินและรายงานผลประกอบการ: สหรัฐอเมริกา — TradingView
กองทุนเสนอขายครั้งแรก และการจัดอันดับกองทุนพักเงิน

จัดอันดับกองทุนพักเงินประจำสัปดาห์ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ประเภทกองทุนตลาดเงิน ตราสารหนี้ระยะสั้น และตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว โดยเรียงตามอัตราผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี



ติดตามบทความอื่นๆได้ที่ https://wealthcertified.co.th/market-update/
Disclaimer
ข้อมูลและเนื้อหาในเอกสารฉบับนี้ ถูกรวบรวมขึ้นจากแหล่งที่มาที่พิจารณาแล้วว่ามีความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตามทางบริษัทนายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน เวลธ์ เซอร์ติฟายด์ จำกัด ไม่อาจรับประกันความถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบันของเอกสารฉบับนี้ รวมถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการนำเสนอข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ ข้อมูลและความคิดเห็นในเอกสารฉบับนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
ผู้ลงทุนต้องเข้าใจว่า ผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถนำเอามาใช้รับประกันผลตอบแทนในปัจจุบันและอนาคตได้ ผู้ลงทุนมีโอกาสรับผลขาดทุนจากการขาดทุนได้ จึงต้องทำความเข้าใจลักษณะผลิตภัณฑ์ เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และผลการดำเนินงานที่นำเสนอนั้น อาจไม่ได้รวมค่าใช้จ่ายต่างๆ อาทิเช่น ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จะต้องมีการเรียกเก็บจากผู้ลงทุน เป็นต้น
เอกสารฉบับนี้ไม่ใช่เอกสารเผยแพร่ให้บุคคลทั่วไปและไม่สามารถนำไปแก้ไข ทำซ้ำ ดัดแปลงบางส่วนหรือทั้งหมด โดยปราศจากความเห็นชอบและอนุญาตจากบริษัทนายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน เวลธ์ เซอร์ติฟายด์ จำกัด